(Home with God) บทที่ 13

 


ความทรงจำที่เจ็ดและแปด

 

 “การสังเกตเชิงวัตถุวิสัยนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสังเกตจะไม่ได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต” 


หมายเหตุ: วัตถุวิสัย (Objective) หมายถึง สิ่งที่วัดได้เป็นรูปธรรม มีจำนวน/ปริมาณแน่นอน เช่น ถ้าถามว่านี่คืออะไร ทุกคนตอบได้ว่ามันคือหินก้อนหนึ่ง 

    อัตวิสัย (Subjective) หมายถึง สิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถชั่งตวงวัดได้ ขึ้นอยู่กับความคิด ความชอบ และประสบการณ์ของแต่ละคน เช่น ถ้าถามทุกคนว่าคนนี้เป็นคนดีไหม บางคนอาจคิดว่าดี แต่บางคนอาจคิดว่าไม่ดี (เป็นมุมมองของแต่ละคน) 


บทที่ 13

 

 G: ฉันเห็นว่าเธอเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เธอจำได้

 

 เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้ว


 N: ขอบคุณครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจ ผมคิดว่าในที่สุดผมก็เข้าใจความจริงแล้วจริง ๆ 


 G: จงระวัง เธอหมายถึงความจริง (truth) ของเธอใช่ไหม? “ความจริง (truth)” ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในความจริงเชิงวัตถุวิสัย (objective reality)

 

 มุมมองเป็นตัวสร้างการรับรู้ และการรับรู้สร้างประสบการณ์ ประสบการณ์ที่การรับรู้สร้างขึ้นสำหรับเธอคือสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความจริง (truth)”

 

 ความจริงของเธอคือสิ่งที่เธอได้มีประสบการณ์อย่างแท้จริง แต่สิ่งอื่นคือสิ่งที่คนอื่นมีประสบการณ์ และบอกเธอเกี่ยวกับมัน

 

 ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ


 N: ไม่มีสิ่งที่เป็นความจริงเชิงวัตถุวิสัยเหรอครับ? 

 

 G: ไม่มี “ความจริงเชิงวัตถุวิสัย” เป็นคำเปรียบเทียบ 


 N: พระองค์กำลังบอกว่าไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ปรากฏให้เห็นเหรอครับ? 


 G: ฉันพูดตรงกันข้าม ทุกอย่างเป็นไปตามที่ปรากฏ และสิ่งที่ปรากฎก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้ และการรับรู้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง และมุมมองก็ไม่ใช่วัตถุวิสัย มุมมองคืออัตวิสัย มุมมองไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมีประสบการณ์ได้ มันคือบางสิ่งที่เธอเลือก  

 

 N: พระองค์เพิ่งจะพูดไปเมื่อกี้นี้เอง มันยากสำหรับผมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลยครับ ผมเลือกที่จะมีมุมมองที่ผมมีเหรอครับ?

 

 G: เธอทำอย่างนั้นจริง ๆ 

 

 นั่นคือกระบวนการที่เธอสร้างขึ้น

 

 N: มันยากมากสำหรับผมที่จะเชื่อ

 

 G: แล้วเธอก็จะไม่เชื่อ

 

 N: ด้วยผลลัพธ์ที่ว่า--

 

 G: “—เธอจะไม่มีประสบการณ์ถึงมัน” 

 

 N: ดังนั้น ถ้าผมไม่เชื่อว่าผมเลือกที่จะมีมุมมองต่าง ๆ ที่ปรารถนา ผมก็จะไม่มีทางมีมุมมองต่าง ๆ ที่ผมปรารถนา 

 

 G: ก็แค่นั้น

 

 N: เพราะนั่นคือมุมมองของผมเหรอครับ?

 

 G: เพราะนั่นคือมุมมองของเธอ

 

 และนั่นจะเปลี่ยนการรับรู้ของเธอ ซึ่งจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอ และประสบการณ์ของเธอจะส่งเสริมมุมมองของเธอ

 

 N: แต่ผมสามารถโต้แย้งได้ว่าผมไม่ได้เลือกการรับรู้นั้น มันเป็นเพียงสิ่งที่ผมสังเกตอย่างเป็นวัตถุวิสัย

 

 G: มันเป็นสิ่งที่เธอสังเกต เมื่อพิจารณาจากมุมมองของเธอ

 

 เธอไม่ได้สังเกตอะไรอย่างเป็น “วัตถุวิสัย”  '

 

 การสังเกตเชิงวัตถุวิสัยนั้นเป็นไปไม่ได้


 N: นี่คำเปรียบเทียบอีกคำหนึ่ง “การสังเกตเชิงวัตถุวิสัย (Objective observation)” ถือเป็นคำเปรียบเทียบ


 G: ใช่

 

 ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสังเกตจะไม่ได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต

 

 N: ผมมั่นใจว่านี่มันเหมือนกับสมุดจดรายการทางจิตวิญญาณของพวกนิวเอจสำหรับคนหลายคน 

 G: น่าสนใจ เพราะมันคือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (pure science)


 N: วิทยาศาสตร์เหรอครับ?


 G: มันคือฟิสิกส์เบื้องต้น ลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมดูสิ


 N: พระองค์กำลังบอกว่าผมมีผลกระทบต่อสิ่งที่ผมเห็นในหลาย ๆ วิธีที่ผมมองมันใช่ไหมครับ?


 G: หรือไม่ว่าเธอจะมองมันไปเลย นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังพูด มันคือกรณีนี้แน่นอน 

 

 N: ดีครับ เราได้ออกนอกเส้นทางไปแล้วแน่นอน เราเข้าไปในเรื่องทฤษฎีการรับรู้และฟิสิกส์ควอนตัมแล้ว!

 

 G: ทั้งหมดนี่เกี่ยวกับการนำเธอกลับสู่ความจริงของเธอ เธอไม่สามารถค้นพบความจริงของเธออีกครั้งได้ เธอจำความจริงของเธอไม่ได้ เธอไม่สามารถอาศัยอยู่ในความจริงของเธอได้ จนกว่าเธอจะจำได้ว่าเธอไปถึงที่นั่นได้อย่างไร

 

 เรากำลังพูดถึงวิธีที่เธอจะไปถึงที่นั่น

 

 บทสนทนานี้จะพาเธอไปยังที่ที่เธออยากไปเสมอ ซึ่งนั่นก็คือบ้าน ถ้าเธอสามารถไปถึงที่นั่นได้ก่อนตาย เธอจะไม่ต้องกังวลเรื่องความตายอีกต่อไป เธอจะไม่มีวันกลัวความตาย

 

 นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการทำให้สำเร็จผ่านการสนทนานี้หรอกเหรอ? เพื่อทั้งตัวเธอและคนอื่น ๆ?


 N: ใช่ครับ 


 G: ดังนั้นการพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีการรับรู้และฟิสิกส์ควอนตัมของเราไม่ได้ทำให้เราออกนอกประเด็น ตอนนี้เธอคงเข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงเข้าใกล้ชีวิต และชีวิตหลัง “ความตาย” จากมุมนี้

 

 N: อ้า! ตอนนี้พระองค์ยืนยันแล้วว่ามี “ชีวิตหลังความตาย”!

 

 G: ฉันเปล่า

 

 N: ไม่เหรอครับ? 

 

 G: ไม่มี ไม่มีชีวิตหลังความตาย 


 N: ไม่มีชีวิตหลังความตายเหรอครับ?

 

 G: ไม่มี อันที่จริงไม่มีคำว่า “ความตาย” เลยแม้แต่น้อย และนั่นก็คือ...


ความทรงจำที่เจ็ด


“ความตายไม่มีอยู่จริง”

 

 G: แต่ฉันรู้ว่าเธอคิดว่ามันมี สำหรับเธอมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ 


 นั่นคือสิ่งที่เรากำลังพูดถึงที่นี่

 

 เรากำลังพูดถึงการรับรู้และมุมมองที่เกิดขึ้น

 

 N: อืม...เราวนรอบวงกลมมาครบรอบแล้วสินะครับ

 

 G: การสนทนาทั้งหมดนี้เป็นวงกลม หากเธอไม่ได้สังเกตมาก่อนเธอจะคิดเช่นนั้น 

 

 บทสนทนานี้ไม่ได้เป็นเส้นตรง เรากำลังเคลื่อนตัวเป็นวงกลมอยู่ที่นี่ วนกลับไปจุดสำคัญหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่แค่สองครั้ง บางทีก็สามหรือสี่ครั้ง นี่จะเป็นหลักฐานสำหรับเธอเมื่อการสนทนาของเราดำเนินต่อไป และมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันจะเป็นการทำซ้ำโดยเจตนา  

 

 สิ่งที่กำลังกล่าวถึงที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าจักรวาลวิทยาของจักรวาล ความลับของทุกชีวิต การเดินทางของวิญญาณหลังความตาย ธรรมชาติของเวลาและพื้นที่ และแนวคิดอย่างน้อยสองแนวคิดที่จะเขย่าเรือจักรวาลวิทยา บางครั้งเธอต้องได้ยินสิ่งต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งครั้งจึงจะสามารถซึมซับมันได้จริง ๆ ไปกันเถอะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องพูดถึง พร้อมมั้ย? 


 N: พร้อมครับ


 G: ถ้าอย่างนั้นให้ฉันพูดซ้ำตรงนี้ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่ามุมมองของเธอคือวิธีที่เธอมองบางสิ่ง ซึ่งมันจะสร้างความเป็นจริงของเธอทั้งในช่วงชีวิตนี้และหลังจากนั้น

 

 N: แล้วถ้าผมไม่คิดว่าชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่จริงล่ะครับ? ผมก็จะไม่มีความจริงที่ผมสร้างขึ้นเหรอครับ?

 

 G: โอ้ มีแน่นอน เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงสูงสุด (Ultimate Reality) ได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันบอกว่า... 


 “เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่หรือตายโดยปราศจากพระเจ้า แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอเป็นเช่นนั้น” 


 “ถ้าเธอคิดว่าเธอมีชีวิตอยู่หรือกำลังจะตายโดยปราศจากพระเจ้า เธอจะได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่เธอเป็น”

 

 “เธอจะมีประสบการณ์นี้ได้นานตราบเท่าที่เธอต้องการ และเธอสามารถยุติประสบการณ์นี้ได้ทุกเมื่อที่เธอเลือก”


 

 ทั้งหมดนี้นำเราไปสู่...


ความทรงจำที่แปด


 “เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงสูงสุดได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้”

 

 N: ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร หมายความว่าอย่างไร ผมกำลังดูประสบการณ์ส่วนตัวของผมเพื่อดูว่าผมสามารถสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องนั้นได้หรือไม่ โดยอ้างอิงจากการเดินทางในชีวิตของผมเอง

 

 G: ดี นั่นเป็นกระบวนการที่ดีมาก เป็นวิธีเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม แต่อย่าเพิ่งปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ที่นั่น

 

 N: หมายความว่าไงครับ? 

 

 G: หมายความว่า จงเปิดใจให้กว้างกับสิ่งที่เธออาจไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

 

 N: โอเค ผมเปิดใจแล้วครับ 

 

 G: ในกรณีนี้ เราจะกลับไปยังบางสิ่งที่เธอสามารถดึงออกมาจากความทรงจำของเธอเองได้ พูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างจาก “การเดินผ่านชีวิต” ของเธอเอง เธอเคยพบว่าตัวเองออกไปเดินในตอนที่อยู่ ๆ ฝนก็เริ่มตกหรือเปล่า?”

 

 N: แน่นอนครับ มากกว่าหนึ่งครั้งด้วย 

 

 G: ดี ตอนนี้เธอเคยมีประสบการณ์กับช่วงเวลานั้น ความเป็นจริงของสายฝนนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความหงุดหงิดและน่ารำคาญ หรือสร้างความมหัศจรรย์และน่ายินดีล่ะ? 


 

 

 N: ผมจำได้ครับ ที่จริงแล้วผมเคยมีประสบการณ์ทั้งสองอย่าง ผมหมายถึง ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อผมมีประสบการณ์กับมันด้วยความน่าหงุดหงิดใจ ผมโกรธที่ฝนเริ่มตก ผมรีบวิ่งไปหาที่กำบังให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ผมเปียก

 

 อีกครั้งที่ผมจำได้ ตอนนั้นผมเดินกับเพื่อนสาวของผมในวันฤดูร้อน และท้องฟ้าก็เปิดออก เราอยู่ในลานจอดรถที่มีพื้นที่กว้างขวาง เพื่อนสาวของผมก็ฉีกเสื้อผ้าของเธอออกทันทีและเริ่มเต้นรำท่ามกลางสายฝน! เธอกำลังเต้นรำและกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และผมก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น หัวผมเปียกโชกเป็นริ้ว ๆ ที่หน้าผาก

 

 เธอหัวเราะใส่ผมและท้าให้ผมเต้นกับเธอด้วย ดังนั้นผมจึงเต้นไปกับเธอ เราเต้นรำไปรอบ ๆ ลานจอดรถนั้นเกือบห้านาทีก่อนที่ตำรวจจะมา เจ้าหน้าที่น่ารักมาก – เธอเป็นผู้หญิง -- เธอขอให้เราใส่เสื้อผ้ากลับคืนเพราะเธอไม่ได้ต้องการที่จะจับกุมเราในข้อหาเปิดเผยอนาจารหรือสร้างความรำคาญในที่สาธารณะ เราทั้งสามหัวเราะและทำตามที่เธอขอ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผมจะไม่มีวันลืม มันคือความสุขที่ไม่มีใครจำกัด มันเป็นความเสียหายที่น่ายินดี

 

 G: และแน่นอน ฉันรู้เกี่ยวกับช่วงเวลานั้น นั่นคือเหตุผลที่ฉันใช้ตัวอย่างนี้โดยเฉพาะ ตอนนี้ให้ฉันถามคำถามเธอ ฝนแตกต่างกันอย่างไร?

 

 N: ขอโทษนะครับ?


 G: ฝนในเหตุการณ์แรกแตกต่างจากฝนในเหตุการณ์ที่สองอย่างไร? เธอเปียกมากขึ้นมั้ย? ฝนตกแรงขึ้นมั้ย? หยดน้ำเย็นกว่าหรือใหญ่กว่ามั้ย?”

 

 N: ไม่ต่างครับ จริง ๆ แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ในเหตุการณ์ฝนตกครั้งแรกไม่มีพายุหรือความรุนแรงมากไปกว่าเหตุการณ์ที่สอง ทั้งสองแห่งมีฝนตกชุกในฤดูร้อน

 

 G: แล้วอะไรคือข้อแตกต่างของประสบการณ์ทั้งสอง? 

 

 N: วิธีที่ผมมองมัน มุมมองของผม เหตุการณ์แรกนั้นผมสวมสูทและกำลังเดินทางไปประชุมที่สำคัญมาก ซึ่งมุมมองของผมก็คือผมคิดว่าฝนเป็นสิ่งที่สร้างความน่ารำคาญ และมากกว่าความรำคาญก็คือ ฝนทำลายแผนของผม มันเป็นอุปสรรคในเส้นทางของผม แต่อีกกรณีหนึ่ง ผมแต่งตัวสบาย ๆ และไม่มีเวลาเฉพาะเจาะจงว่าผมต้องไปที่ไหน ก็เลยดูเหมือนว่าฝนเป็นเรื่องที่น่าสนุก


 G: ใช่ แล้วใครเป็นคนสร้างมุมมองเหล่านั้น

 

 N: แน่นอนว่าผมเป็นคนสร้างเอง 

 

 G: เธอสามารถตัดสินใจได้ว่าการประชุมทางธุรกิจไม่สำคัญหรือการปรากฏตัวที่เลอะเทอะเล็กน้อยนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และมันไม่สำคัญใช่ไหม เธอสามารถ “เห็นแบบนั้น” ได้ใช่ไหม?

 

 N: ใช่ครับ 

 

 G: ตอนนี้ให้คิดว่าฝนเป็น “ความจริงขั้นสูงสุด” เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าฝนกำลังตกได้ แต่เธอสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับฝนได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีมอง เธอไม่สามารถเปลี่ยนความจริงขั้นสูงสุดได้ แต่เธอสามารถมีประสบการณ์กับความจริงขั้นสูงสุดได้ 

 

 นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

 N: แต่มันไม่ง่ายเสมอไปนะครับ!

 

 G: มันง่ายมากเสมอ

 

 N: แต่ถ้าผมเปลี่ยนวิธีการมองบางอย่าง ละครทั้งหมดก็จะหายไป

 

 G: อ่า ตอนนี้พวกเรากำลังจะเข้าถึงมันแล้ว...


 N: ตัวอย่างเช่น ความทรงจำที่เจ็ดนั้น “ความตายไม่มีอยู่จริง” โอ้ ถ้ามนุษยชาติโดยรวมยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ละครทั้งหมดจะอยู่ที่ไหน? เราจะโกรธ เสียใจ หรือคร่ำครวญถึงการสูญเสียคนที่เรารักได้อย่างไร? ชาวอิตาลีจะทำอย่างไร?

 

 G: นั่นตลกมาก

 

 N: พระองค์คิดว่าชาวอิตาเลียนจะคิดอย่างนั้นไหมครับ?

 

 G: แน่นอนว่าพวกเขาจะคิดแบบนั้น พวกเขาจะหัวเราะดังที่สุด

 

 N: โอเคครับ อันนี้จริงจังนะครับ ผมหมายถึง – มันจะเป็นจริงได้ไหมครับ? ที่อีกเรื่องหนึ่งจะบอกว่ามีชีวิตหลังความตาย แต่อีกเรื่องหนึ่งบอกว่าความตายไม่มีอยู่จริง พระองค์ได้พูดบางสิ่งที่สำคัญมากที่นี่

 

 G: เธอทำให้มันดูเหมือนเป็นเรื่องใหม่

 

 ในทุกแห่งที่ฉันกล่าวถึง ไม่ว่าจะศาสนาใด ไม่ว่าจะวัฒนธรรมใด ไม่ว่าจะในช่วงเวลาของบริบทใด ฉันได้อธิบายอย่างถูกต้องโดยการประกาศไว้ว่าความตายไม่มีอยู่จริง แต่มันไม่ใช่ในแบบที่พวกเธอส่วนใหญ่คิด พวกเธอคิดว่านั่นคือจุดจบของทุกชีวิต แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “จุดจบของชีวิต”

 

 ดังนั้น “ความตาย” ตามประสบการณ์ของมนุษย์จึงมีอยู่

 

 ใช่ ความตายเป็นจุดสิ้นสุดของการดำรงอยู่ในรูปทางกายภาพในปัจจุบันของเธอ ประสบการณ์นั้นสิ้นสุดลงในเวลาที่เธอตาย แต่ชีวิตไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

 ถ้าเธอมีความเชื่อในพระเจ้า เธอต้องมีความเชื่อในชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเจ้าของทุกศาสนาประกาศไว้

 

 N: แล้วถ้าผมไม่เชื่อในพระเจ้าล่ะครับ?

 

 G: นั่นอาจเปลี่ยนสิ่งที่เธอประสบ แต่จะไม่เปลี่ยนสิ่งที่เป็น สิ่งที่เธอจะได้มีประสบการณ์คือสิ่งที่เธอเชื่อ และสิ่งที่เธอเชื่อขึ้นอยู่กับมุมมองของเธอ

 

 N: ไม่มี “หนทางที่ถูกกำหนดขึ้น” อย่างนั้นหรือครับ? ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับทุกคน

 

 G: มี่สิ่งที่ถูก “กำหนด” เกิดขึ้น แต่เธออาจไม่รู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น

 

 N: นี่ผมเริ่มจะสับสนมากขึ้นแล้ว

 

 G: เสียใจด้วย แต่ความจริงก็คือในช่วงเวลาแห่งความตาย เธอจะมีประสบการณ์ในสิ่งที่เธอเชื่อ และความเชื่อของเธอจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอรับรู้ และการรับรู้ของเธอจะขึ้นอยู่กับมุมมองของเธอ

 

 N: และไม่มีโอกาสที่การรับรู้ของผมจะเปลี่ยนแปลงเหรอครับ?

 

 G: มีแน่นอน เช่นเดียวกับในชีวิตก่อนตาย การรับรู้ของเธอสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชีวิตหลังความตาย

 

 N: อะไรทำให้การรับรู้เปลี่ยนไปได้ครับ? 


 G: มุมมองของเธอเปลี่ยนไป

 

 N: การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบใหม่

 

 G: การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบใหม่ 

 

 N: แต่อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองได้ครับ? 

 

 G: หลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงการตัดสินใจของเธอในช่วงเวลาหลังความตายซึ่งเธอจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันว่ามันไม่ได้ผล นั่นคือ มันไม่ได้นำประสบการณ์ที่เธอเลือกที่จะมีมาให้เธอ การตัดสินใจดังกล่าวจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอทันที

 

 N: โอเคครับ โอเค...สมมติว่าเราแค่...มีวิธีไหนบ้างครับที่ผมจะบอกพระองค์ให้อธิบายว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ตาย และหลังจากที่ตาย?

 

 G: ฉันยินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับ “ทางเลือกต่าง ๆ” แต่อย่างที่ฉันพูดไป ทางเลือกจะแตกต่างกันไปสำหรับทุกคน

 

 N: งั้นบอกบางทางเลือกกับผมได้ไหมครับ


 G: เธอกำลังถามคำถามที่ใหญ่มาก เธออยากรู้ตอนนี้เลยใช่ไหม? 

 

 N: ใช่ครับ ผมรอมานานแล้ว ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคนตาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

(Home with God) บทที่ 18

(Home with God) บทที่ 17