(Home with God) บทที่ 17
“ไม่มีอะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลเมื่อเธอมองดูมันอย่างถูกต้อง”
บทที่ 17
N: ตอนนี้พวกเรากำลังพูดถึงสิ่งที่แตกต่างไปจากที่ผมคิด มันช่างน่าสนใจอะไรอย่างนี้ครับ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของผมมั้ย? เช่นว่า ชีวิตที่ผมกำลังมีประสบการณ์อยู่ และความตายของผม
G: ทุกสิ่งที่นี่เชื่อมโยงกัน ไม่มีข้อเท็จจริงเดียวเกี่ยวกับชีวิตและสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” เพียงอย่างเดียว ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกัน
N: โอเคครับ ถ้างั้นพระองค์ช่วยตอบผมหน่อยว่า หากทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน มันเป็นไปได้ยังไงที่ “เรา” ที่เป็น “เรา” จะประสบกับเหตุการณ์ราวกับว่ามันเกิดขึ้นครั้งเดียวตามลำดับ?
G: ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกมองอะไร และนั่นเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับการเดินทางในปัจจุบันของเธอผ่านชีวิตนี้
ประสบการณ์ของเธอถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่เธอมอง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องมากขึ้น ประสบการณ์ของเธอถูกสร้างขึ้นจากวิถีทางที่เธอเคลื่อนย้ายผ่านช่องว่างหรือเวลา
N: ขอโทษนะครับ?
G: ฉันจะขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อดูว่าฉันจะทำให้เธอเข้าใจได้มากขึ้นหรือเปล่า
N: พระเจ้า ได้โปรดครับ ผมพยายามเต็มที่ที่จะติดตามพระองค์ แต่ผมต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
G: ตกลง สมมติว่าเธอเดินเข้าไปในห้อง เป็นห้องขนาดใหญ่และหรูหรา อาจเป็นห้องสมุดในบ้านที่ดูมั่งคั่งร่ำรวย
N: ดีครับ ผมนึกภาพออก
G: เธอเดินเข้าไปในห้องและสังเกตเห็นบางสิ่ง “ในตอนแรก” อาจมีรูปปั้นมนุษย์เปลือยขนาดใหญ่กว่าคนรูปหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง โดยธรรมชาติแล้วสิ่งเหล่านี้จะดึงดูดสายตาเธอ เธอจึงเดินไปหามันเพื่อทำการตรวจสอบมัน หรืออาจมีของอย่างอื่นที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน เช่น ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ หรือทีวีจอกว้างส่งเสียงดังที่ผนังด้านข้าง ความสนใจของเธอจะไปอยู่ที่นั่นทันที จิตใจของเธอไปอยู่ที่นั่นทันที
N: โอเคครับ ผมจินตนาการออก
G: ตอนนี้เธอเริ่มมองไปรอบ ๆ และเธอเริ่มเห็นสิ่งอื่น ซึ่งเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจน้อยกว่า สุดท้ายเธอเดินไปยังตู้หนังสือที่อยู่ตรงกลางห้อง ตาของเธอส่องไปที่ชื่อเรื่องเฉพาะบนปกหนังสือที่อยู่ตรงกลางชั้นตรงกลางตรงหน้าเธอ นี่คือเหตุผลที่เธอเข้ามาในห้องนี้ แม้ว่ารูปปั้นจะดึงดูดสายตาเธอ และเธอก็เคลื่อนเข้าหามัน แต่หนังสือคือเหตุผลที่ทำให้เธอเข้ามาในห้องนี้
การอธิบายฉากนี้ให้บางคนฟังในภายหลัง เธออาจได้ยินตัวเองพูดว่า “ในที่สุดก็มี! สิ่งที่ฉันกำลังมองหา!”
แน่นอนว่าไม่มี “ในที่สุด” เกี่ยวกับเรื่องนี้ พูดง่าย ๆ ว่า “มันมีอยู่แล้วในตอนแรก!”
หนังสืออยู่ที่นั่นมาตลอด มันรอให้เธอมองดู มันไม่ได้ปรากฏขึ้น “ภายหลัง” อันที่จริง มันไม่ได้ “ปรากฏขึ้นมา” เลย มันไม่ได้มาใน “เวลา” ที่แน่นอน มันอยู่ที่นั่นมาตลอด แต่เธอมองไม่เห็นเพราะเธอไม่ได้มองดู เธอไม่ได้ก้าวเข้าหามัน
ทุกอย่างในห้องนั้นอยู่ที่นั่น มันมีอยู่พร้อมกันทั้งหมด เธอมองเห็นสิ่งที่อยู่ที่นั่น เธอ “ค้นพบ” มัน ดังนั้นเธอจึงมีประสบการณ์ถึงมันตามลำดับ ดังนั้นช่วงเวลานี้จึง “ต่อเนื่องกัน” อย่างแท้จริง
N: ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนั้นได้ยังไง
G: สิ่งหนึ่งไม่ได้ “ปรากฏขึ้นในทันทีทันใด” เมื่อเธอมองเห็นมัน แต่การมองเห็นของเธอทำให้มัน “ปรากฏขึ้น” ในทันทีทันใด คนที่ศึกษาฟิสิกส์ควอนตัมเบื้องต้นจะบอกว่าไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นจนกว่าเธอจะเห็น มันอยู่ที่นั่น ทว่าวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ากว่านั้นรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การอธิบายขั้นสูงสุดว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นเป็นอย่างไร
ในความจริงขั้นสูงสุด สิ่งต่าง ๆ อยู่ที่นั่นก่อนที่เธอจะเห็น นั่นคือมีความเป็นไปได้หลายอย่างอยู่ตลอดเวลา ทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้มีอยู่ที่นี่ ตอนนี้ และกำลังเกิดขึ้นที่นี่ ความจริงที่ว่าเธอเห็นเพียงหนึ่งในนั้นไม่ได้ “อยู่ที่นั่น” แต่หมายความว่า มันอยู่ในจิตใจของเธอ “ที่นี่”
N: แต่ความเป็นจริงไหนจากความเป็นจริงที่มีอยู่คือความจริงที่ผมนึกถึงล่ะ?
G: สิ่งที่เธอเลือกที่จะเห็น
N: แล้วอะไรทำให้ผมเลือกที่จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งแทนที่จะเห็นความจริงอีกอย่างหนึ่ง
G: เอาล่ะ นั่นคือคำถามใช่ไหม? อะไรทำให้เธอเลือกที่จะมองเห็นความจริงอย่างหนึ่งมากกว่าความจริงอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อเธอเดินผ่านคนที่เดินอยู่บนทางเท้า ผมเผ้ารุงรัง ไม่โกนหนวด กระดกขวดไวน์ดื่ม อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็น “คนจรจัด” หรือ “นักบุญบนทางเท้า”?
เมื่อเธอเห็นหนังสือแจ้งจากนายจ้างของเธอว่าเธอถูก “ลดเงินเดือน” อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็น “หายนะอันน่ากลัว” หรือ “โอกาสที่ยอดเยี่ยม”?
เมื่อเธอเห็นรายงานทางโทรทัศน์เกี่ยวกับแผ่นดินไหวหรือสึนามิ โดยมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน อะไรทำให้เธอเลือกที่จะเห็น “ภัยพิบัติ” หรือ “ความสมบูรณ์แบบ”?
อะไรทำให้เธอเลือกสิ่งหนึ่งมากกว่าสิ่งอื่น
N: ความคิดของผมเกี่ยวกับสิ่งนั้นเหรอครับ?
G: ถูกต้อง ความคิดของเธอเกี่ยวกับตัวเธอเองด้วย
N: เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของ ดอน กิโฆเต้ ชายชาวลามันชา เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มองโลกด้วยสายตาที่แตกต่าง สายตาที่ “แผดเผาด้วยไฟแห่งการมองโลกภายใน” เป็นเนื้อร้องของ โจ ดาเรียน ในบทเพลงจากเวทีเพลง ดอน กิโฆเต้คิด “โครงการที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยจินตนาการออก...เพื่อที่จะกลายเป็นอัศวินที่หลงทางและเดินทางออกไปสู่โลกเพื่อแก้ไขความผิดทั้งหมด”
เขาค้นพบชามโกนหนวด ลองพลิกกลับดูจึงเห็นว่ามันเป็นหมวกกันน๊อค เขาจึงนำมันมาสวมไว้บนศีรษะอย่างภาคภูมิใจ เขาได้พบกับหญิงสาวบาร์เทนเดอร์ ชื่ออัลดอนซา และเห็นว่าเธอเป็น Dulcinea หญิงสาวแสนสวย บริสุทธิ์ และจริงใจ เขาจึงขอเหรียญตราเธอเพื่อนำไปสู้รบ เมื่อเธอเยาะเย้ยเขาและโยนเศษผ้าให้เขา เขาเห็นว่ามันเป็นผ้าพันคอของเธอ และถือมันไว้ข้าง ๆ หัวใจของเขา เขาตัดสินใจว่า “ฉันก็คือฉัน ดอน กิโฆเต้ ลอร์ดแห่งลามันชา โชคชะตาของฉันเรียกร้อง และฉันก็ไปตามนั้น”
G: นั่นคือทั้งหมดที่เขาทำ
แล้วชะตากรรมของเธอล่ะคืออะไร? เธอจะใช้ชีวิตของเธออย่างไร? เธอจะเห็นผู้คน สถานที่ และเหตุการณ์นั้นอย่างไร? เรื่องทั้งหมดจะกลับกลายเป็นเช่นใด?
N: พระองค์คือพระเจ้า พระองค์บอกผม
G: ขึ้นอยู่กับว่าเธอมองมันอย่างไร
N: พระองค์รู้มั้ยครับว่านี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องนี้แล้วจริง ๆ
G: แน่นอนว่าเธอเป็นเช่นนั้น เพราะทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมชาติมาก วิญญาณของเธอเข้าใจทั้งหมดนี้ ซึ่งรวมถึง “ความต่อเนื่อง” อันสมบูรณ์แบบด้วย วิญญาณของเธอรู้ความจริงทั้งหมดมีอยู่ คนบนทางเท้าเป็นทั้งคนจรจัดและนักบุญทางเท้า อัลดอนซาเป็นทั้งบาร์เทนเดอร์และสาวสวยบริสุทธิ์ เธอเป็นทั้งเหยื่อและผู้ร้ายและเป็นทั้งชีวิตของเธอ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นจริง ไม่มีเลย เธอกำลังทำมันขึ้นมาทั้งหมด เธอสร้างประสบการณ์โดยตัดสินใจว่าจะเลือกดูส่วนไหนของทั้งหมดที่เป็น และเธออาจมองข้ามสิ่งที่เธอพยายามค้นหาอยู่
N: พระองค์คิดว่าผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ คนบางคนบอกผมว่าพวกเขากำลังมองหาคู่ครองที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อคู่ครองคนนั้นถูกส่งมาจากสวรรค์ พวกเขามองไม่เห็นเขาหรือเธอด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาวอกแวกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น รูปร่างหน้าตา หรือสิ่งที่เรียกว่าข้อบกพร่อง ดอน กิโฆเต้เห็นบาร์เทนเดอร์เป็นสาวงาม และเธอก็กลายเป็นอย่างนั้น
นี่คือการมองข้ามบางสิ่งไปแม้กระทั่งกับวัตถุทางกายภาพ ผมไม่สามารถบอกพระองค์ได้ว่ามีกี่ครั้งที่ผมกำลังค้นหาบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม แต่เพราะความฟุ้งซ่านถึงอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้ผมมองไม่เห็นมัน ผมมองข้ามมันไป! ดังนั้นผมจึงออกจาก “ห้อง” นั้น (ช่วงเวลานั้นในชีวิตของผม) และประกาศให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ว่า “มันไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันบอกคุณว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น!” จากนั้นผมก็ตกใจมาก เมื่อพบว่ามีคนอื่นเดินเข้ามาในห้องนั้นและกลับมาด้วยชัยชนะพร้อมกับสิ่งที่ผมสาบานว่าไม่สามารถพบได้ที่ไหนเลย!
G: นี่คือสิ่งที่คุรุทำ คุรุทางจิตวิญญาณคือผู้ที่เดินเข้าไปในห้องแห่งชีวิตของเธอและเห็นถึงสิ่งที่เธอสาบานว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น
N: บ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนพูดว่า – เอ้ย บ่อยครั้งผมได้ยินตัวเองพูดว่า – “มันมาอยู่ในโลกนี้ตอนนี้ได้ยังไง?”
G: นักมายากลเข้าใจหลักการนี้ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะบอกว่า “มือเร็วกว่าตา” พวกเขาแสดงกลต่อหน้าเธอ ไม่มีภาพลวงตาเลย แต่นักมายากลรู้ดีว่ามันจะดูเหมือนภาพลวงตาสำหรับเธอเพราะเธอมองจากที่ตรงนั้น
ความลับของอาชีพนักมายากลคือการทำให้เธอไม่ต้องสนใจว่ากลอุบายอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักมายากลและคุรุทางจิตวิญญาณมักจะคิดในลักษณะเดียวกัน พวกเขาจะถูกเรียกว่า “ผู้วิเศษ” บ่อยครั้ง คำว่าวิเศษและเวทย์มนตร์มักถูกนำมารวมกันเพื่ออธิบายบุคคลหรือประสบการณ์เฉพาะ
ผู้วิเศษ คือคนที่มองเห็นในสิ่งที่เธอไม่เห็น พวกเขาไม่ได้ละสายตาจากสถานที่ที่มีการแสดงมายากล แต่มองตรงไปที่มัน
ไม่มีอะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลเมื่อเธอมองดูมันอย่างถูกต้อง เมื่อเธอมองเห็นมันในหลายมิติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ เนื่องจากมุมมองที่จำกัด
เธอได้วางตัวเองไว้กับร่างกายภายในช่องว่างหรือเวลา เธอมองเห็น รับรู้ และเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่จำกัดซึ่งร่างกายสามารถทำได้ แต่ร่างกายของเธอไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็น แต่เป็นสิ่งที่เธอมี เวลาไม่ใช่สิ่งที่ผ่านไป แต่เป็นบางอย่างที่เธอเคลื่อนผ่าน เหมือนกับตอนที่เธอเดินผ่านห้องห้องหนึ่ง และช่องว่างก็ไม่ใช่ “ที่ว่าง” จริง ๆ ไม่ใช่ “ที่ที่ไม่มีอะไรเลย” เพราะไม่มีสถานที่แบบนั้นดำรงอยู่
ว่ากันว่าเวลาคือ “สิ่งที่เดินต่อไป” แต่แท้จริงแล้วเวลาเดินไม่ไปไหน เธอต่างหากคือผู้เดิน เธอคือผู้ที่ “เคลื่อนผ่านกาลเวลา” เธอสร้างภาพลวงตาว่า “เวลาเดินผ่านไป” ในขณะที่เธอเดินผ่านช่วงเวลาเดียวที่มีอยู่
และ “ช่วงเวลาเดียวที่มีอยู่” นั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อเธอก้าวผ่านมันไป เธอจะรู้สึกว่าเธอกำลัง “แค่เดินผ่านเวลา” เพราะเธอเป็นอย่างนั้น
เวลาเป็นสิ่งที่เธอสังเกตเห็นตามลำดับซึ่งอยู่พร้อมกันในทุกพื้นที่ ช่องว่างหรือเวลาเป็นไปตามลำดับ
เมื่อเธอเคลื่อนลงมาตาม “การเคลื่อนที่ผ่านเวลา” เธอจะพบว่า ช่องว่างหรือเวลานั้นกว้างใหญ่มาก สาเหตุที่ “ช่วงเวลาเดียวที่มีอยู่” นั้นถูกเรียกว่า ความต่อเนื่องบนช่องว่างหรือเวลา (Space/Time CONTINUUM) เพราะความจริงของช่องว่างหรือเวลามีความต่อเนื่องกันอยู่เช่นนี้เสมอ
เธอในฐานะวิญญาณอันบริสุทธิ์ สามารถเคลื่อนผ่านความเป็นจริงอันหนึ่งเดียวนี้ (บางครั้งเรียกว่าภาวะเอกฐาน: Singularity) ในวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่เธอยังคงมีประสบการณ์กับตัวตนของเธอได้ต่อเนื่องไป เธอคือภาวะเอกฐานนี้ เธอคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น คือแก่นแท้อันบริสุทธิ์ คือพลังงาน เธอเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานและแก่นแท้นี้ เธอเป็นแต่ละภาคส่วนของภาวะเอกฐาน (Individuation of the Singularity)
ภาวะเอกฐานคือสิ่งที่พวกเธอบางคนเรียกว่า “พระเจ้า” ความเป็นปัจเจกคือสิ่งที่พวกเธอบางคนเรียกว่า “ตัวเธอ”
เธอสามารถแยกตัวตนของเธอและเคลื่อนผ่านภาวะเอกฐานได้ในหลายทิศทาง เธอเรียกการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันเหล่านี้ผ่าน “ช่วงชีวิต” ของความต่อเนื่องบนช่องว่างหรือเวลา สิ่งเหล่านี้คือวัฏจักรของตนเอง (Self) ที่เปิดเผยตนเองต่อตนเองผ่านการหมุนเวียนของตนเองผ่านตนเอง
N: เข้าใจแล้ว ไม่เคยมีใครอธิบายให้ผมฟังแบบนี้มาก่อนเลยครับ
G: ดี ถึงเวลาแล้วที่เธอจะได้เข้าใจมัน
N: พระองค์ฉลาดมากเลยครับ
G: ขอบใจ
N: ตอนนี้ให้ผมดูว่าผมสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับตัวเองได้ยังไง ผมเข้าใจมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับทั้งหมดนี้แล้ว มนุษย์เรานั้นเป็น “แต่ละภาคส่วนของภาวะเอกฐานที่กำลังมีประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ต่อเนื่องกันไปพร้อม ๆ กัน”
G: แบบนั้นแหละ เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
N: พระองค์ล้อเล่นหรือเปล่า พระองค์ได้ยินที่ผมพูดไหม ผมเพิ่งพูดว่า...
เราคือแต่ละภาคส่วนของภาวะเอกฐานที่กำลังมีประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ต่อเนื่องกันไปพร้อม ๆ กัน
G: ใช่ และฉันเพิ่งบอกว่าเธอเข้าใจถูกต้อง
N: ยอดเยี่ยมครับ มันมหัศจรรย์มาก ผมเพิ่งเข้าใจเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น