(Home with God) บทที่ 10

 

“เธอคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต รวมถึงความตายของเธอด้วย”


บทที่ 10


 N: วิเศษมากเลย ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ผมอยากย้อนกลับไปพูดคุยถึงบางเรื่องแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องที่ยังกวนใจผมอยู่


 G: ว่ามาเลย


 N: พระองค์บอกผมตั้งแต่แรกแล้วว่าเราทุกคนเป็นต้นเหตุของการตายของเราเอง สิ่งที่แรกที่ผมคิดก็คือ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แสดงว่าการตายทุกครั้งก็หมายถึงการฆ่าตัวตายน่ะสิครับ ผมคิดเรื่องนั้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้


 G: ไม่ใช่


 ความจริงที่ว่าทุกคนเป็นต้นเหตุในบั้นปลายชีวิตนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังจงใจเลือกในระดับจิตสำนึก และไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังทำเพื่อที่จะหลีกหนีจากเงื่อนไขหรือสภาวการณ์บางอย่าง 


 การเป็นต้นเหตุของบางสิ่งนั้นแตกต่างจาก “การเลือก” อย่างมีสติโดยสิ้นเชิง


 N: ยังไงนะครับ? ผมไม่เข้าใจ 


 G: เธอสามารถเป็นต้นเหตุของการประสบอุบัติเหตุได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอเลือกที่จะประสบอุบัติเหตุอย่างมีสติ


 N: อ่า ผมเข้าใจความหมายที่พระองค์กำลังจะสื่อครับ


 G: งั้นเรามันทำให้มันชัดเจนขึ้นกัน เธอคือต้นเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ซึ่งรวมถึงการตายของเธอด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้อย่างมีสติ


 N: แต่ถ้าคน ๆ หนึ่งเกิดตระหนักรู้เรื่องนี้ขึ้นอย่างมีสติ - และอีกอย่าง บทสนทนานี้ทำให้ผู้คนตระหนักรู้อย่างมีสติ นั่นหมายความว่าเมื่อคนตาย คน ๆ นั้นกำลังฆ่าตัวตายเหรอครับ? ผมหมายความว่า คนทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของการจบชีวิตของพวกเขาใช่มั้ยครับ? นี่ผมพลาดอะไรไปตรงไหนหรือเปล่า?


 G: มีเงื่อนไขสองประการที่ใช้ในการจำแนกว่าความตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตาย

 

 1. เธอต้องรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ นั่นคือ เธอต้องตัดสินใจที่จะตายอย่างมีสติ

 

 2. เธอต้องเลือกที่จะตายเพื่อจุดประสงค์ในการหลบหนี มากกว่าที่จะทำให้ชีวิตของเธอสมบูรณ์

 

 จุดประสงค์หนึ่งของการสนทนานี้คือ ช่วยให้เธอได้สัมผัสกับความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตในทางกายภาพ เพื่อช่วยให้เธอเข้าใจว่าชีวิตในร่างกายนั้นเป็นของขวัญที่ฉันมอบให้เธอในสัดส่วนที่มากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้

 

 ฉันได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าความตายเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างที่ทรงพลัง และมันก็เป็นเช่นนั้น ความตายถูกออกแบบมาเพื่อให้เธอ “ไป” ให้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เธอ “หลบหนี” จากบางสิ่งบางอย่าง


 N: การฆ่าตัวตายนั้นเจ็บปวดมากจนผมแทบไม่อยากจะพูดถึงเลย แน่นอนว่าสำหรับการฆ่าตัวตาย ความรู้สึกแรกที่ต้องเผชิญคือความเจ็บปวด บุคคลที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเป็นคนแรกคือ คนที่ต้องพบเจอกับความโกลาหลในชีวิตซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่จะจบชีวิตของลง และคนที่จะได้รับความเจ็บปวดต่อมาก็คือครอบครัวของบุคคลนั้น ทั้งหมดนี้มันน่าสบายใจดีเหรอครับ


 G: ความสบายใจอาจเกิดจากการรู้ว่าบุคคลที่ฆ่าตัวตายนั้นเขาทำถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่เป็นไร พวกเขาเป็นที่รักและไม่เคยถูกพระเจ้าทอดทิ้ง พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจจะทำ นั่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายจะต้องเข้าใจ


 N: พระองค์กำลังบอกว่าคนที่ฆ่าตัวตายจะไม่ได้รับการลงโทษแต่อย่างใดเลยเหรอครับ?


 G: ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “การลงโทษ” ในสิ่งที่เธอเรียกว่าชีวิตหลังความตาย คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังคือผู้ถูกลงโทษ พวกเขาประสบกับความตกใจอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งบางคนก็ไม่เคยฟื้นตัวจากความตกใจได้อย่างเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดรู้สึกถึงการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง หลายคนใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อโทษตัวเอง พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรผิด และทุกข์ทรมานกับสิ่งที่พวกเขาได้พูดไปซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ

 

 เรื่องที่น่าเศร้าคือคนที่จบชีวิตของตัวเองคิดว่าพวกเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้


 การจบชีวิตเพื่อหลีกหนีบางสิ่งไม่ได้สร้างสถานการณ์ที่เธอจะหลีกหนีจากสิ่งใด ๆ ได้ หากเธอกำลังคิดที่จะจบชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงบางสิ่ง เธอควรรู้เอาไว้ ฉันจะบอกอีกครั้งว่า เธอกำลังคิดถึงในสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้

 

 ความปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เจ็บปวดเป็นเรื่องปกติ มันเป็นส่วนหนึ่งในจังหวะการเคลื่อนไหวของมนุษย์ อย่างไรก็ตามมันอยู่ห่างไกลจากจุดประสงค์ของวิญญาณ วิญญาณมายังร่างกายเพื่อมีประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อหลบหนี 


 แต่คนที่ฆ่าตัวตายพบว่าประสบการณ์นั้นแสนจะเจ็บปวดและยากเย็น เขาจึงพยายามก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ที่ซึ่งไม่มีอะไรต้องเผชิญและไม่มีอะไรต้องกลัว แต่คนเราไม่อาจก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่าได้ เพราะไม่มีความว่างเปล่าให้ก้าวเข้าไป ความว่างเปล่าไม่มีอยู่จริง

 

 ไม่มีความว่างเปล่าในจักรวาล ไม่มีที่ไหนเลย ไม่มี “ที่ที่ไม่มีอะไร” ทุกที่ที่เธอไป พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยบางสิ่ง


 N: มันคืออะไรครับ? พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยอะไร?


 G: การสร้างสรรค์ของเธอเอง เธอจะต้องเผชิญกับการสร้างสรรค์ของเธอในทุกที่ที่เธอไป และเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้ และเธอก็ไม่ต้องการที่จะทำเช่นนั้น เพราะเธอได้สร้างการสร้างสรรค์ของตัวเองเพื่อสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์กับเธอที่จะพยายามหลีกเลี่ยงมัน การก้าวเข้าไปสู่ความว่างเปล่านั้นไม่สามารถทำได้


 ให้ฉันพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า “การก้าวเข้าไปสู่ความว่างเปล่า (Void Dance) นั้นเป็นไปไม่ได้”


 N: นั่นเป็นการเล่นคำที่ฉลาดมากเลยครับ 


 G: ฉันใช้คำในลักษณะนี้บ่อย ๆ เพื่อให้เธอสามารถจดจำข้อความได้ง่าย ๆ 


 N: ดีครับ ผมจะจำคำนี้ไว้เสมอ “การก้าวเข้าไปสู่ความว่างเปล่า (Void Dance) นั้นเป็นไปไม่ได้”


 G: เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งไหนที่เธอตายไปกับมัน เธอก็จะมีชีวิตอยู่กับมันเช่นกัน  


 N: นั่นเป็นข้อความที่ทรงพลังมากครับ


 G: ฉันหมายความว่าอย่างนั้นแหละ 


 N: ยกโทษให้ผมด้วยนะครับที่ต้องย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องการจบชีวิตของตัวเอง แต่ก่อนหน้านี้พระองค์บอกว่าความตายนั้นวิเศษมาก แล้วทำไมคนที่มีชีวิตย่ำแย่มากถึงไม่ปรารถนาที่จะตาย ถ้าความตายนั้นวิเศษมากล่ะครับ?


 G: สิ่งที่เธอเรียกว่า “ความตาย” นั้นวิเศษมาก แต่ก็ไม่ได้วิเศษไปกว่าชีวิต อันที่จริง “ความตาย” คือชีวิต เพียงแค่ดำเนินต่อไปในวิธีที่ต่างออกไป

 

 ฉันอยากให้เธอเข้าใจถึงความตายได้อย่างชัดเจน แล้วเธอจะพบตัวเองในอีกด้านของความตาย สิ่งของทั้งหมดที่เธอถือไปด้วยจะยังคงอยู่ที่นั่น แล้วเธอก็จะทำสิ่งในที่น่าตลกที่สุด นั่นคือ เธอจะมอบชีวิตทางกายภาพให้กับตัวเองอีกชีวิตหนึ่งเพื่อจัดการกับสิ่งที่เธอไม่ได้จัดการในชีวิตครั้งล่าสุดของเธอ


 N: ผมจะกลับไปใช้ชีวิตในทางกายภาพเหรอครับ? ผมไม่สามารถ “ทำสิ่งต่าง ๆ” ได้ในมิติเหนือกายภาพหรือในโลกของวิญญาณเหรอครับ? 


 G: ไม่ได้ เพราะจุดประสงค์ของชีวิตทางกายภาพคือ เพื่อให้เธอมีบริบทซึ่งเธอจะได้ประสบถึงสิ่งที่เธอเลือกในโลกวิญญาณ เพื่อให้เธอได้รับประสบการณ์

 

 ดังนั้น ในการออกจากชีวิตทางกายภาพ เธอจะไม่หนีออกจากอะไรเลย แต่เธอจะกลับเข้าสู่ชีวิตทางกายภาพ และเข้าสู่สถานการณ์ที่เธอกำลังมองหาที่จะหลบหนี...เว้นแต่ว่าตอนนี้ เธอจะกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

 

 เธอจะไม่มองว่านี่เป็น “การลงโทษ” หรือ “ข้อกำหนด” หรือ “ภาระ” เพราะเธอจะทำสิ่งนี้ด้วยเจตจำนงเสรีของเธอเอง โดยเข้าใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์ตนเอง


 N: ถ้าอย่างนั้นเราอาจจัดการกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้


 G: แน่นอน เพราะนั่นคือจุดประสงค์ของชีวิต

 

 เมื่อชีวิตถูกใช้ในลักษณะนั้น เธอจะตายเมื่อเธอพร้อมที่จะใช้ความตายเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตใหม่ที่แตกต่างออกไป การฆ่าตัวตายคือการใช้ความตายเพื่อการหลบหนี มันจะสร้างชีวิตแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความท้าทายและประสบการณ์ที่ไม่ต่างออกไปจากเดิม


 N: ผมไม่เคยได้ยินเรื่องการฆ่าตัวตายในทำนองนี้มาก่อนเลยครับ


 G: ใช่

 

 เธออาจใช้ความตายเป็นเครื่องมือในการหลบหนีหรือเพื่อการสร้างสรรค์ก็ได้ ข้อแรกนั้นเป็นไปไม่ได้ ส่วนข้อที่สองเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ


 N: แต่นั่นไม่ได้เป็นการตัดสินเรื่องการฆ่าตัวตายเหรอครับ? พระองค์พูดเหมือนกับว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นเรื่องที่ “ผิด” ? ผมคิดว่าพระเจ้าไม่มีการตัดสินในเรื่องใด ๆ นะครับ


 G: ไม่มีอะไร “ผิด” หรือ “แย่” เกี่ยวกับการสร้างความท้าทายและประสบการณ์ชีวิตแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง หากเธอต้องการเผชิญกับความท้าทายเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ลงมือทำเลย เธอสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เธอต้องการ 


 แต่สิ่งสำคัญคือเธอต้องรู้ว่า ถ้าเธอคิดว่าเธอจะหนีออกจากความท้าทายเหล่านี้ เธอจะหนีไม่ได้ เธอจะพบว่าตัวเองมองตรงมาที่ความท้าทายเดิมอีกครั้ง และแน่นอนว่ามันอาจซ้ำซากจำเจ

 

 สิ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ต้องการเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบันอีกต่อไปคือความคิดที่พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายเพียงลำพัง นี่เป็นความคิดที่ผิด แต่ก็มีหลายคนที่คิดแบบนี้

 

 ในปัจจุบัน ความเหงาเป็นความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความเหงาทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ - ความรู้สึกโดดเดี่ยวและการบาดเจ็บ การที่ต้องแบกรับภาระในแบบที่ไม่มีใครเข้าใจ และการดำรงอยู่โดยขาดทรัพยากร ล้วนเป็นสูตรสำเร็จของความสิ้นหวัง 


 เมื่อต้องเผชิญกับความสิ้นหวังอย่างไม่รู้จบ ท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนไม่มีอะไรจะสำคัญไปมากกว่าการหลบหนี แต่เธอไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ ได้แต่เพียงทำซ้ำตั้งแต่ต้นในสิ่งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยง

 

 นั่นคือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่ในตอนนี้เพื่อบอกเธอว่าเธอไม่ได้ขาดทรัพยากร ไม่มีใครในพวกเธอที่ขาดทรัพยากร และฉันขอให้เธอประกาศบอกสิ่งนี้กับคนทั้งโลก เธอต้องติดต่อหาฉันโดยรู้ว่าฉันจะอยู่ที่นั่น เธอต้องเอื้อมมือออกไปด้วยความศรัทธาอย่างสมบูรณ์เพื่อเห็นว่าฉันเอื้อมมือกลับมา


 N: งั้นผมขอถามคำถามที่ดูเหมือนเป็นการประชดประชันหน่อยได้ไหมครับ?


 G: ได้


 N: ทำไมพวกเราถึงต้องติดต่อหาพระองค์ก่อนที่พระองค์จะติดต่อเราด้วยครับ? ถ้าพระองค์คือพระเจ้าที่พวกเรารู้จักจริง ๆ พระองค์ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราต้องการความช่วยเหลือ หากพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตาจริง ๆ พระองค์ต้องเต็มใจให้ความช่วยเหลือนั้น โดยที่เรา “ไม่ต้องร้องขอ” หากพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ทำไมพระองค์ถึงไม่รักเรามากพอที่จะช่วยเราโดยที่เราไม่ต้องอ้อนวอนพระองค์ล่ะครับ?

 

 และในขณะที่เรากำลังติดต่อพระองค์กับอยู่นี้ พระองค์พูดกับคนที่บอกกับพระองค์เช่นนี้ว่าอย่างไรครับ? “ฉันเรียกหาพระเจ้า แต่พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่น! คุณคิดว่าฉันไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรอกเหรอ? เพราะเห็นแก่พระเจ้า ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันสิ้นหวังขนาดนี้! ฉันสิ้นหวังมากเพราะดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทำให้ฉันผิดหวัง! ฉันถูกทิ้งอยู่ที่นี่ และฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว ฉันเสร็จแล้ว จบแล้ว ผ่าน” 

 

 พระองค์พูดอะไรกับคนคนนั้นเหรอครับ หืม ?


 G: ฉันพูดว่า...

 

 ฉันต้องการให้เธอพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของปาฏิหาริย์ มันมีเหตุผลที่เธอไม่เคยมีประสบการณ์ของการได้รับวิธีแก้ปัญหาจากฉัน แต่เหตุผลนั้นไม่สำคัญในตอนนี้ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ตอนนี้คำตอบอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เปิดตาของเธอแล้วเธอจะมองเห็นมัน เปิดใจแล้วจะเธอจะรู้ เปิดใจแล้วเธอจะรู้สึกว่ามันอยู่ตรงนี้

 

 ฉันพูดว่า...

 

 ถ้าหากเธอเรียกหาฉันด้วยการตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์ เธอจะรู้ว่าเธอได้รับคำตอบแล้ว เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอรู้ สิ่งที่เธอรู้สึก และสิ่งที่เธอประกาศว่าจะเป็นความจริงในประสบการณ์ของเธอ แต่ถ้าหากเธอเรียกหาฉันด้วยความสิ้นหวัง ฉันก็จะอยู่ที่นั่น แต่ความสิ้นหวังของเธออาจทำให้เธอมืดบอด และขัดขวางไม่ให้เธอมองเห็นฉัน

 

 ฉันพูดว่า...

 

 สิ่งที่เธอได้ทำลงไปนั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่น่ากลัว สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเธอไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าจะซ่อมแซม จนไม่สามารถรักษาให้หายได้ ฉันมีความสามารถและฉันจะทำให้เธอหายเป็นปกติได้อีกครั้ง

 

 แต่เธอต้องหยุดตัดสินตัวเอง คนที่ตัดสินตัวเธอได้ดีที่สุดคือเธอ คนอื่นอาจตัดสินเธอจากภายนอกที่เขามองเข้าไป แต่พวกเขาไม่รู้จักเธอ พวกเขามองไม่เห็นเธอ ดังนั้นการตัดสินของพวกเขาจึงไม่ถูกต้อง อย่าทำให้การตัดสินของคนอื่นถูกต้องโดยการรับคำตัดสินนั้นไปเป็นของเธอเอง คำตัดสินเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไร

 

 อย่ารอให้คนอื่นเห็นเธอเป็นอย่างที่เธอเป็น เพราะพวกเขาเห็นเธอผ่านดวงตาแห่งความเจ็บปวดของพวกเขาเอง แต่จงรู้ไว้เถิดว่าตอนนี้ฉันมองเห็นเธอทั้งในความอัศจรรย์และความจริง และสิ่งที่ฉันมองเห็นในตัวเธอนั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อฉันมองดูเธอ ฉันมีแค่เพียงความคิดเดียวว่า “นี่คือลูกรักของฉัน ฉันพึงพอใจในสิ่งที่เธอเป็น” 


 ฉันพูดว่า...

 

 ในอาณาจักรของพระเจ้า การให้อภัยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น พระเจ้าไม่สามารถทำให้เกิดความขุ่นเคืองหรือเกิดความเสียหายได้ในทางใดทางหนึ่ง ในจักรวาลนี้มีเพียงคำถามเดียวที่สำคัญ ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผิดหรือความไร้เดียงสาของเธอ แต่มันเกี่ยวข้องกับตัวตนของเธอ คำถามนั้นก็คือ เธอรู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเธอเป็นใคร? หากเธอรู้แล้วว่าตัวเองคือใคร ความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับความเหงาจะหายไป ความคิดที่เกี่ยวกับความไร้ค่าทั้งหมดจะหายไป การคิดถึงความสิ้นหวังทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนไปเป็นการตระหนักรู้อย่างอัศจรรย์ถึงความมหัศจรรย์ ซึ่งก็คือชีวิตของเธอ ความมหัศจรรย์นั้นคือเธอ 


 และสุดท้าย ลูกรักของฉัน ฉันพูดว่า...

 

 ในเวลานี้เธอถูกห้อมล้อมด้วยทูตสวรรค์จำนวนนับแสน ยอมรับในพันธกิจของพวกเขาในตอนนี้ และส่งต่อของขวัญของพวกเขาให้กับผู้อื่น หากเธอให้ เธอจะได้รับ หากเธอเยียวยา เธอจะได้รับการเยียวยาปาฏิหาริย์ที่เธอรอคอยกำลังรอเธออยู่ เธอจะรู้สิ่งนี้ก็ต่อเมื่อเธอกลายเป็นปาฏิหาริย์ที่คนอื่นรอคอย

 

 จงไปทำปาฏิหาริย์ของเธอ และปล่อยให้ความตายของเธอเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เป็นการประกาศถึงความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช้ความตายเป็นเครื่องมือในการสร้าง ไม่ใช่เพื่อทำลาย ใช้เพื่อก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อถอยหลัง ในการเลือกนี้ เธอจะให้เกียรติ “ตัวชีวิต” และยอมให้ “ชีวิต” นำความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอมาให้กับเธอ แม้ในขณะที่เธอกำลังใช้ชีวิตอยู่กับร่างกาย: นั่นคือความสงบสุขในจิตวิญญาณของเธอในท้ายที่สุด


 N: ขอบคุณสำหรับคำพูดเหล่านั้นครับ

 

 ผมหวังและภาวนาว่าผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ 

 

 ผมอยากถามพระองค์อีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับทั้งหมดนี้ครับ แล้วสำหรับคนที่ขอให้หมอหรือคนรักช่วยจบชีวิตของเขาล่ะ ? 


 G: เธอกำลังพูดถึงการุณยฆาต ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป การุณยฆาตคือเวลาที่คนตระหนักว่าชีวิตของเขาสิ้นสุดลงแล้วในทุกวิถีทาง และไม่มีอะไรเหลือให้ต้องประสบอีกนอกจากความเจ็บปวดทางร่างกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรือการสูญเสียเกียรติโดยสิ้นเชิงในกระบวนการตาย

 

 การุณยฆาตไม่สามารถเทียบได้กับการฆ่าตัวตาย คนที่คิดฆ่าตัวตายในขณะที่ยังใช้ชีวิตได้อย่างกระฉับกระเฉงและมีสุขภาพดีพอสมควรนั้นกำลังตัดสินใจในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก แต่คนที่จบชีวิตที่อยู่ห่างจากจุดจบของชีวิตจริง ๆ เพียงไม่นาน ด้วยทุกข้อบ่งชี้จากหลักฐานทางการแพทย์นั้น เขาตัดสินใจในรูปแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

 บรรดาผู้ที่เห็นทุกหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุว่าร่างกายของพวกเขาหมดสิ้นสภาพแล้ว อาจเลือกที่จะถามว่า “ฉันจำเป็นต้องทนรับความเจ็บปวดและการสูญเสียเกียรติครั้งสุดท้ายนี้หรือไม่” ซึ่งวิญญาณแต่ละดวงจะมีคำตอบที่ถูกต้อง และจะไม่มีวิญญาณดวงใดตอบคำถามได้ไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีคำตอบที่ “ไม่ถูกต้อง”


 N: ผมมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยครับ และผมคิดว่าคนที่มีเหตุผลทุกคนย่อมมองเห็นเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

(Home with God) บทที่ 13

(Home with God) บทที่ 18

(Home with God) บทที่ 17