(Home with God) บทที่ 9
“ไม่มีเหยื่อและไม่มีผู้ร้ายในโลก”
บทที่ 9
G: นี่เป็นตัวอย่างอันน่าทึ่งที่ว่าเมื่อเธออยู่กับความตายอย่างมีความสุข เธอจะปล่อยให้คนอื่นอยู่กับความตายของเธอได้ดีเช่นกัน
N: ผมหวังว่าเมื่อผมตาย ผมจะทำมันได้อย่างสง่างามเหมือนพิพครับ
G: การสนทนาต่อไปนี้จะทำให้เกิดความแตกต่างขึ้น การที่เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตายเพราะเธอเลือกที่จะตายนั้นช่วยเธอได้มาก
N: ทุกคนตายเมื่อพวกเขาเลือกที่จะตายเหรอครับ? พิพเลือกที่จะตายเมื่อเธอเลือกที่จะทำเช่นนั้น? Terri Schiavo ตายในแบบที่เธอต้องการตายหรือครับ?
G: ใช่ เธอเองก็รู้จักพิพดี เพราะเมื่อพิพเลือกที่จะตาย เธอพูดออกมาจริง ๆ ว่าเธอต้องการจะไปในวันปีใหม่
N: ใช่ครับ แต่เธอต้องการที่จะเป็นมะเร็งในช่วงชีวิตของเธอเหรอครับ? เธอต้องการจากไปก่อนจริง ๆ เหรอ? นี่เป็นเรื่องยากที่สามี ลูก ๆ และสมาชิกในครอบครัวของเธอจะยอมรับได้ ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะถามคำถามนี้ด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง ทำไมพิพถึงอยากทิ้งพวกเราไว้แบบนั้นล่ะครับ?
G: ฉันมีคำตอบที่อาจทำให้เธอตกใจ
N: มันคืออะไรครับ?
G: เอาไว้ทีหลัง เราจำเป็นต้องพูดถึงมันในภายหลัง เราต้องปูพื้นฐานก่อน แล้วคำตอบจะไม่ทำให้เธอตกใจมากนัก
N: ไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไง ผมก็มั่นใจว่าสมาชิกในครอบครัวของ Terri Schiavo มีคำถามเดียวกันกับผม ผมรู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาจะปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับ “การเลือกล่วงหน้า” ในเรื่องจังหวะเวลาและลักษณะการตายของคน ๆ หนึ่ง ไม่ ไม่สิ คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ของฉัน และนั่นก็ไม่ใช่ประสบการณ์ของพิพ หรือ Terri เช่นกัน”
ผมรู้ว่าพระองค์พูดก่อนหน้านี้ว่าวิญญาณออกจากร่างเมื่องานเสร็จสิ้นเท่านั้น และนี่ควรเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง แต่การวิญญาณที่ออกจากร่างยังคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากสำหรับคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกทางกายภาพ—และการบอกคนเหล่านั้นว่าคนที่พวกเขารักเลือกที่จะจากไปจริง ๆ อาจทำให้ดูเหมือนคน ๆ นั้นไม่ต้องการอยู่กับพวกเขาอีกต่อไป และ…อืม มันอาจจะเจ็บปวดมากสำหรับผมครับ
ผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสามีของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ยังอายุยังน้อย ผู้หญิงคนนี้แบกความโศกเศร้าจากการสูญเสียมาหลายปี ลูกสาวตัวน้อยของเธอรู้สึกถึงความสูญเสียอย่างแท้จริง เธอไม่เคยลืมการสูญเสียพ่อของเธอ และอันที่จริงเธอยังคงโกรธเขามาจนถึงทุกวันนี้ที่เขาได้จากไป เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเธอถึงทำอย่างนั้น และถ้าผมบอกเธอตอนนี้ว่าไม่มีวิญญาณดวงใดออกจากร่างโดยที่ไม่ต้องการ และวิญญาณทุกดวงเป็นเหตุให้ตัวเองจากไปเองและต้องการจากไปในเวลานั้นจริง ๆ มันจะยิ่งทำร้ายเธอมากขึ้นไปอีก
G: เว้นแต่เด็กคนนั้นจะเข้าใจว่าพ่อของเธออาจไม่ได้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างมีสติ
นั่นไม่ใช่คำตอบที่น่าแปลกใจที่ฉันจะเปิดเผยให้เธอรู้ในภายหลัง แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาว่ามันเป็นไปได้ในตอนนี้
N: ผมไม่เข้าใจครับ พระองค์หมายความว่ายังไงที่พระองค์พูดว่า พ่อของเธออาจไม่ได้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างมีสติ? ผมคิดว่าพระองค์บอกผมว่า ทุกคนเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตของตัวเอง และไม่มีใครตายโดยขัดต่อเจตจำนงของตัวเอง
G: บางทีมันอาจจะช่วยให้เธอเข้าใจว่ามนุษย์สร้างและ “รู้สิ่งที่พวกเขารู้” ด้วยประสบการณ์สามระดับ ได้แก่ จิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก
จำไว้ว่าฉันบอกว่าเมื่อเธอตาย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สมบูรณ์ แต่มันเป็นไปได้ที่เธอจะไม่ตระหนักรู้ถึงความสมบูรณ์อย่างมีสติ
วิญญาณสามารถรู้ได้ในระดับจิตเหนือสำนึกว่ามันเป็นไปอย่างสมบูรณ์ในช่วงชีวิตนี้ แต่ไม่ได้ “ตระหนักรู้” ในระดับจิตใต้สำนึกหรือระดับจิตสำนึก
N: ประสบการณ์ทั้งสามระดับนี้ได้ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาก่อนหน้านี้ ซึ่งกลายเป็นหนังสือชื่อมิตรภาพกับพระเจ้า (Friendship with God) ผมพบว่ามันน่าทึ่งมากครับ
G: ในจุด ๆ นี้มันควรเป็นมากกว่าความน่าดึงดูดใจ มันคือสิ่งสำคัญเพื่อการทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถตอบคำถามของเธอได้
N: ถ้าอย่างนั้นมาพูดถึงมันอีกครั้งกันเถอะครับ ประสบการณ์สามระดับคืออะไรครับ?
G: จิตใต้สำนึก (subconscious) เป็นสถานที่ของประสบการณ์ที่เธอไม่รู้เกี่ยวกับมัน หรือไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์อย่างมีสติในความจริงของเธอ การที่เธอทำโดยใช้ “จิตใต้สำนึก” นั่นแปลว่าเธอมีการตระหนักรู้น้อยมากว่าเธอกำลังทำมัน และสาเหตุที่ทำมัน
นี่ไม่ใช่ระดับประสบการณ์ที่ “แย่” ดังนั้นจงอย่าตัดสินมัน มันถือเป็นของขวัญเพราะมันช่วยให้เธอทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ
N: เช่นอะไรครับ? พระองค์หมายถึงอะไรที่ว่า “ทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ”?
G: หน้าที่ต่าง ๆ เช่น การทำให้ผมยาวขึ้น การกระพริบตา หรือการเต้นหัวใจ เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เธอทำโดยอัตโนมัติ เธอไม่ต้องนั่งคิดว่า “ฉันต้องกระพริบตา ฉันต้องทำเล็บมือให้ยาว” สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยระบบร่างกายของเธอเอง โดยไม่ได้รับคำสั่งอย่างมีสติจากเธอ
จิตใต้สำนึกยังสร้างวิธีแก้ไขปัญหาได้ในทันที โดยมันจะตรวจสอบข้อมูลที่เข้ามา จากนั้นจึงเข้าไปในคลังหน่วยความจำ และให้การตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ หากเธอแตะไปที่กระทะร้อน เธอไม่ต้องคิดที่จะขยับมือออก เธอจะเหวี่ยงมันออกไปภายในเสี้ยววินาที นี่คือการตอบสนองโดยอัตโนมัติตามข้อมูลก่อนหน้า
จิตใต้สำนึกสามารถช่วยชีวิตเธอได้ แต่ถ้าเธอไม่รู้ว่าส่วนใดในชีวิตที่เธอเลือกสร้างโดยอัตโนมัติ เธออาจจินตนาการว่าตัวเองอยู่ใน “ผลกระทบ” ของชีวิต มากกว่าที่จะเป็นสาเหตุของชีวิต เธอสามารถสร้างตัวเองให้เป็นเหยื่อได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เธอได้เลือกที่จะไม่ตระหนักรู้
จิตสำนึก (conscious) คือสถานที่แห่งประสบการณ์ที่เธอรู้ และสร้างความเป็นจริงของเธอด้วยการตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ สิ่งที่เธอตระหนักรู้นั้นขึ้นอยู่กับ “ระดับจิตสำนึก” ของเธอ นี่คือระดับทางกายภาพ
เมื่อเธอมุ่งมั่นสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เธอจะเคลื่อนผ่านชีวิตที่เคยพยายามที่จะ “ยกระดับจิตสำนึกของเธอ” หรือขยายประสบการณ์ของความเป็นจริงทางกายภาพของเธอ เพื่อรวบรวมสิ่งที่เธอรู้ในระดับอื่นซึ่งเป็นความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
จิตเหนือสำนึก (superconscious) คือสถานที่แห่งประสบการณ์ที่เธอรู้ และสร้างความเป็นจริงของเธอโดยตระหนักรู้อย่างเต็มที่ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ นี่คือระดับทางจิตวิญญาณ พวกเธอส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักรู้ในระดับจิตสำนึกถึงความตั้งใจของจิตเหนือสำนึกของพวกเธอ เว้นแต่เธอจะทำเช่นนั้น
จิตเหนือสำนึกเป็นส่วนหนึ่งของเธอซึ่งมีวาระที่ยิ่งใหญ่กว่าของจิตวิญญาณ – ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายไปสู่ความสมบูรณ์ของการที่เธอเข้ามาสู่ร่างกายเพื่อมีประสบการณ์และรู้สึกถึงมัน จิตเหนือสำนึกนำเธอไปสู่ประสบการณ์แห่งการเติบโตที่เธอปรารถนามากที่สุดอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดผู้คน สถานที่ และเหตุการณ์ที่แน่นอน ถูกต้อง และสมบูรณ์แบบ เพื่อให้เธอได้รู้และได้รับประสบการณ์นั้นร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึก – และสร้างความตระหนักรู้ในตัวตนที่แท้จริงของเธอ
N: ครั้งสุดท้ายที่เราพูดถึงเรื่องนี้ ผมได้ถามพระองค์ว่ามีวิธีตั้งเจตจำนงเดียวกันในทั้งระดับจิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก ในเวลาเดียวกันหรือไม่
G: และมันก็มี จิตสำนึกระดับสามในหนึ่งนี้เรียกว่า อภิจิตสำนึก (supraconscious) พวกเธอบางคนเรียกมันว่า “จิตสำนึกของพระคริสต์” หรือ “จิตสำนึกที่สูงส่ง”
ทุกคนสามารถทำได้ บางคนทำโดยการทำสมาธิ บางคนสวดอ้อนวอน คนอื่น ๆ ทำผ่านพิธีกรรม การเต้นรำ หรือพิธีศักดิ์สิทธิ์ – และเช่นกัน คนอื่น ๆ ทำผ่านกระบวนการที่เธอเรียกว่า “ความตาย” มีหลายวิธีที่จะไปถึงที่นั่น เมื่อเธอเป็นเช่นนี้ เธอจะมีความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ สติสัมปชัญญะทั้งสามระดับกลายเป็นหนึ่งเดียว จะมีคนบอกว่าเธอ “มีทุกอย่างรวมกัน” แต่จริง ๆ แล้วมันมีมากกว่านั้น เพราะในเรื่องนี้ ทั้งหมดนั้นยิ่งใหญ่กว่าผลรวมของส่วนต่าง ๆ
อภิจิตสำนึกไม่ได้เป็นเพียงการรวมกันของจิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึกเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งหมดรวมกันแล้วอยู่เหนือชั้นขึ้น จากนั้นเธอจะเคลื่อนย้ายไปสู่การดำรงอยู่อันบริสุทธิ์ การดำรงอยู่นี้เป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของการสร้างสรรค์ในตัวเธอ เธออาจประสบกับสิ่งนี้ก่อน “ตาย” หรือหลังจากนั้นก็ได้
N: ผมคิดว่านี่คือวิธีที่คุรุที่ยังมีชีวิตอยู่สร้างขึ้น
G: ใช่
N: แล้วคุรุจะรู้สึกแปลกใจไหมครับ?
G: สำหรับผู้ที่มีสติสัมปชัญญะสูงส่งอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์มักจะเกิดขึ้นตามเจตจำนงอย่างมีสติเสมอและจะไม่เกิดขึ้นโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน ระดับที่ประสบการณ์ปรากฏขึ้นโดยไม่คาดคิดจะเป็นตัวบ่งชี้โดยตรงของระดับของจิตสำนึกในการที่ประสบการณ์ได้ถูกรับรู้ จำที่ฉันพูดได้ไหมว่า การรับรู้สร้างประสบการณ์
นักเรียนที่เชี่ยวชาญคือคนที่เห็นด้วยเสมอกับประสบการณ์ที่ตนเองมี แม้ว่าประสบการณ์นั้นจะไม่ “ปรากฏ” เป็นที่น่าพอใจ เพราะนักเรียนที่เชี่ยวชาญรู้ดีว่าตนเองต้องมีเจตจำนงในระดับหนึ่ง “การรู้” นั้นทำให้คนคนหนึ่งสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขและ “อยู่ด้วยกัน” ได้ในสถานการณ์ที่อีกคนรู้สึกเครียดมาก
สิ่งที่นักเรียนผู้เชี่ยวชาญอาจมองไม่เห็นเสมอไปคือ ระดับของจิตสำนึกที่ประสบการณ์นั้นได้ถูกตั้งเจตจำนงไว้ ดังนั้น นักเรียนผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สงสัยเลยว่าตัวเขาต้องรับผิดชอบในระดับหนึ่ง ความรู้นี้เองที่ทำให้เขาอยู่บนเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญ
ก่อนหน้านี้เธอถามว่า พิพต้องการที่จะตายไหม ถ้าเธอเป็นสาเหตุของการตาย และฉันตอบว่า: “ไม่ได้อยู่ในระดับจิตสำนึก” ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคำพูดนั้นฉันหมายถึงอะไร
การตัดสินใจทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อจิตวิญญาณมนุษย์นั้นกระทำโดยวิญญาณในระดับจิตสำนึกอย่างน้อยหนึ่งระดับจากสามระดับ หรือที่ระดับที่สี่ ซึ่งเป็นระดับอภิจิตสำนึก
พิพเลือกช่วงชีวิตของเธอที่เธอจะออกจากร่าง เช่นเดียวกับทุกดวงวิญญาณ ในกรณีของเธอ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในระดับจิตสำนึก แต่จากนั้นเมื่อเธอมีการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งเป็นการตัดสินใจในระดับอภิจิตสำนึก พิพจึงเลือกวันและเวลาที่แน่นอนในการออกเดินทางของเธออย่างมีสติ - ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ เธอสามารถรู้ได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นในระดับจิตสำนึกเพราะเธอได้ประกาศไว้ล่วงหน้า เธอตระหนักรู้ดีถึงสิ่งที่เธอเลือกและเธอก็สร้างมันขึ้นมา
N: บางทีเรื่องแบบนั้นอาจเป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับ Terri Schiavo บางทีเธออาจไม่ได้ตั้งใจเลือกเหตุการณ์ก่อนหน้าในชีวิตของเธอ แต่บางทีสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์เริ่มต้นเหล่านั้น Terri ถูกกล่าวหาว่า “ไม่มีสติ” แต่จริง ๆ แล้ว Terri อาจไม่ได้ “ไม่มีสติ” ก็ได้ บางทีเธออาจเปลี่ยนจิตสำนึกของเธอ บางทีเธออาจ “พบ” ตัวเองอยู่ในระดับของจิตสำนึกที่ต่างออกไป ขั้นแรก ในระดับอภิจิตสำนึก ซึ่งเธอได้ตระหนักอย่างเต็มที่ถึงสิ่งที่เธอสร้าง สร้างที่ไหน และทำไมถึงสร้างในระดับอภิจิตสำนึกให้เสร็จสิ้นในสิ่งที่เธอมาที่นี่เพื่อทำให้สำเร็จ เธอบรรลุความตระหนักอย่างสมบูรณ์ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของเธอกับพระเจ้า
ผมเชื่อว่า Terri Schiavo ใช้ชีวิตของเธอเพื่อเชื้อเชิญผู้คนในโลกให้ก้าวไปสู่การรู้ในระดับใหม่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย จิตวิญญาณ และพระเจ้า และการกระทำใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ - ในกรณีเช่นเธอ
ผมเชื่อว่า ในระดับจิตวิญญาณของ Terri Schiavo นั้น ไม่เคยตกเป็นเหยื่อในสถานการณ์ของเธอเลย ผมเชื่อว่าเธอรู้ดีว่าในช่วงปีสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น และยอมให้ตัวเองอยู่ภายใต้มันเพื่อดึงความสนใจจากคนทั่วโลกมาที่ตัวเธอเองเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ
ผมเชื่อว่าพระเยซูทรงทำสิ่งเดียวกันทุกประการ
ผมพูดถูกไหมครับ?
G: มันถือเป็นการล่วงล้ำและไม่เหมาะสมที่ฉันจะเปิดเผยการทำงานของจิตเหนือสำนึกและอภิจิตสำนึกที่อยู่ภายในจิตใจของ Terri อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ และฉันก็พูดเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว หลายครั้งก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับมนุษย์ทุกคน
“ไม่มีเหยื่อ และไม่มีผู้ร้ายในโลก”
N: นี่เป็นครั้งที่สามหรือสี่แล้วที่พระองค์พูดคำนั้นในการสนทนานี้เพียงลำพัง แต่ผมเคยพูดไปแล้วและผมจะพูดอีกครั้งนะครับว่า: ความคิดที่ว่าไม่มีใครเป็นเหยื่อนั้นบางครั้งก็ยากสำหรับผู้คนที่จะยอมรับ
พระองค์ให้ข้อสังเกตมาก่อนว่า เป็นเพราะคนส่วนใหญ่มองสถานการณ์ชีวิตจากมุมมองที่จำกัดมากของความเข้าใจปกติของมนุษย์ แต่พวกเราจะพยายามจะปลุกจิตสำนึกของตัวเองและช่วยปลุกจิตสำนึกของมนุษยชาติได้อย่างไรครับ? หวังว่าพระองค์จะช่วยขยายความนะครับ
G: จงบอกมนุษยชาติเกี่ยวกับเครื่องมือแห่งการสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิด คำพูด และการกระทำ นี่คืออุปกรณ์ที่เธอใช้สร้างความเป็นจริงขนาดเล็กของเธอ เครื่องมือเหล่านี้สมบูรณ์แบบ พวกมันมีประสิทธิภาพอย่างยอดเยี่ยม
สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอพูด และสิ่งที่เธอทำจะสร้างประสบการณ์ที่เธอเรียกว่า “เธอ” และความหมายแฝงและสถานการณ์ในชีวิตของเธอ
อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ถ้าเธอคิดว่าเธอเป็นเหยื่อ ให้พูดว่าเธอเป็นเหยื่อ และทำตัวเหมือนว่าเธอเป็นเหยื่อ แล้วเธอก็จะพบว่าตัวเองเป็นเหยื่อทั้ง ๆ ที่เธอไม่ใช่เหยื่อ
เช่นเดียวกัน มันจะเป็นจริงเมื่อเธอตัดสินใจที่จะสนใจประสบการณ์ของผู้อื่น ถ้าเธอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเหยื่อ ให้พูดว่าเขาเป็นเหยื่อ และทำตัวราวกับว่าเขาเป็นเหยื่อ เธอจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหยื่อทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่เหยื่อ
เธอรู้สึกว่า Terri Schiavo ตกเป็น “เหยื่อ” หรือเปล่าล่ะ? บางทีเธออาจจะทำให้ Terri เป็นเหยื่อก็ได้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว Terri ไม่ได้ตกเป็นเหยื่อ
จงจำไว้เสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่เธอได้สร้างขึ้น
ในการตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ เธอต้องสาบานว่าเธอไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ซึ่งมันเป็นเรื่องโกหก
เธอเป็นคนสร้างสถานการณ์ทั้งหมดในชีวิตของเธอเอง ถ้าเธอสร้างมันขึ้นมาในระดับจิตสำนึก เธอก็จะรับรู้ถึงมัน แต่หากเธอสร้างมันขึ้นมาในระดับจิตใต้สำนึกหรือเหนือจิตสำนึก เธออาจจะไม่รู้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอก็จะสร้างสถานการณ์นั้นขึ้นมา
คุรุทุกคนรู้เรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมไม่มีคุรุคนใดเคยชี้นิ้วไปที่บุคคลอื่นและพูดว่า “เขาทำสิ่งนี้กับฉัน”
เธออาจประสบกับสิ่งที่เธอเลือก เธออาจประสบกับสิ่งที่เธอได้มารู้ว่าเธอเป็นใคร อันเป็นผลมาจากชีวิตของเธอในโลกวิญญาณก่อนเกิด หรือเธออาจประสบบางอย่างที่น้อยกว่านั้น ในเรื่องนี้ เธอมีเจตจำนงเสรีเช่นเดียวกับในทุกเรื่อง
N: ผมมีคำถามอีกแล้วครับ ตอนก่อนเกิดผมมีจิตสำนึกไหมครับ? จากสิ่งที่พระองค์พูด น่าจะตอบว่าใช่ แล้วเรา “ตระหนัก” รู้ถึงตัวเองก่อนจะ “เกิด” หรือเปล่าครับ?
G: ใช่แล้ว ในเวลาเนิ่นนานก่อนหน้านี้ “เธอ” ที่เป็น “เธอ” นั้น “ตระหนักรู้” ถึงตัวเองตลอดไป เราจะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นในภายหลังเมื่อเราสำรวจเรื่องการเกิดในเชิงลึกยิ่งขึ้น สำหรับตอนนี้ แค่รู้ว่า “เธอ” เคยเป็น....เธออยู่ตอนนี้...และจะเป็นตลอดไป เมื่อเธอเกิดขึ้นมา เธอแค่แบ่งตัวเองออกเป็นส่วน ๆ
N: ผมทำอะไรนะครับ?
G: เธอแบ่งตัวเองออกเป็นส่วน ๆ เธอยุติการรวมตัว เธอเลิกเป็นหนึ่งเดียวและแบ่งตัวเองออกเป็นสามส่วน นั่นคือ ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ หรือที่เรียกว่าจิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก
N: โอ้ ครับ มันสัมพันธ์กัน
G: ใช่ แต่มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แน่นอนและละเอียดถี่ถ้วน มันวาดภาพให้เห็นเป็นจังหวะกว้างๆ
ในตรีเอกานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นี้ - พระเจ้าในส่วนที่สาม – จิตใจของเธอ เป็นที่ที่กิจกรรมของจิตสำนึกได้เกิดขึ้น
ดังนั้น จงคิดเฉพาะในสิ่งที่เธอเลือกที่จะมีประสบการณ์ พูดเฉพาะสิ่งที่เธอเลือกจะทำให้เป็นจริง และใช้ความคิดสั่งร่างกายอย่างมีสติให้ทำในสิ่งที่เธอเลือกที่จะแสดงให้เห็นเท่านั้นว่าเป็นความจริงสูงสุด นี่คือวิธีที่เธอสร้างในระดับจิตสำนึก
ลองพิจารณาดูให้ละเอียด นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุรุทุกคนทำอย่างนั้นหรือ? มีคุรุคนไหนทำมากไปกว่านี้อีก?
ไม่ ฉันพูดได้คำเดียวว่า ไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น