(Home with God) บทที่ 16
“เธอมีประสบการณ์กับโลกมิติที่สาม แต่เธอไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกเดียว ความจริงสูงสุด (Ultimate Reality) นั้นซับซ้อนกว่าที่เธอคิดมาก”
บทที่ 16
N: และอีกครั้งที่เราได้กลับมาสู่ความคิดที่ว่า สภาพจิตใจของบุคคลในขณะที่พวกเขาเสียชีวิตคือประสบการณ์ที่จิตวิญญาณของพวกเขาจะเผชิญใน “อีกด้านหนึ่ง”
G: ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังพูด ฉันพูดที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
N: ใช่ และผมก็กลับมาทบทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะดูเหมือนว่าผมจะยังไม่เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับคำพูดนั้น และผมก็พยายามคิดว่ามันคืออะไร แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว
G: บอกฉันที
N: ความคิดเช่นนั้นไม่ใช่สำหรับผู้ที่กำลังใกล้ตายโดยปราศจากความหวัง เช่น ผู้ที่พบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะของความกลัว ความหวาดระแวง การตำหนิตนเอง หรือความสงสัย หรือสำหรับครอบครัวของผู้ที่เป็นเช่นนั้น
G: เข้าใจล่ะ ฉันเข้าใจแล้วว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
N: ผมหมายความว่า มีคนไม่มากนักที่ตายด้วยความสงบสุขและคาดหวังอย่างน่าอัศจรรย์อย่างที่พระองค์แนะนำว่ามันจำเป็นสำหรับพวกเขาที่จะมีประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ ผมคิดว่ามีคนตายกันมากขึ้นในความ...ผมจะคำว่าอะไรดี...อย่างน้อยก็หวาดระแวง หวาดกลัว หรือสับสน หรือตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น ในอุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม...
G: ฉันเข้าใจในความกังวลของเธอ ทว่าการปลอบโยนจะเกิดขึ้นเมื่อเธอรู้ว่าวิญญาณทุกดวงพบสันติสุข ปีติ และความรัก วิญญาณทั้งหมดจะเคลื่อนไปสู่ระยะที่สามของความตาย ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการรวมตัวกับแก่นแท้ของตนเอง
ในระหว่างนี้ ไม่มี “ความเจ็บปวด” ไม่ว่าจะเป็นทางอารมณ์ ร่างกาย หรือวิญญาณ ใน “ชีวิตหลังความตาย” ฉันได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าแม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองกำลังจะไป “นรก” แล้วส่งตัวเองไปที่นั่น ก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน พวกเขาเพียงแค่สังเกตตัวเองว่ามีประสบการณ์ แต่ไม่มีความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับมัน
N: พระองค์บอกว่ามันเหมือนกับการดูวิดีโอแนะนำ
G: ถูกต้อง นั่นคือระดับของการแยกออกจากกัน เธอเพียงแค่ให้ประสบการณ์กับตัวเองเพื่อทบทวน และดึงเอาภูมิปัญญาใด ๆ ก็ตามที่มีออกมา แต่จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ในชีวิตหลัง “ความตาย” ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์
N: แล้วชีวิตหลังความตายคืออะไรละครับ? จะมีอะไรหรือเปล่า? มีความสุข? มีความเบิกบานมั้ย?
G: นั่นคือทั้งหมดที่มี ไม่มีอะไรเป็นลบ
N: ไม่มีอะไรเป็นลบ?
G: ไม่มีสักอย่างที่เป็นลบ
N: แต่ผมคิดว่าพระองค์บอกว่าคน ๆ นั้นจะมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจะมีประสบการณ์
G: แม่นแล้ว
N: แล้วถ้าคนคาดหวังความทุกข์ล่ะครับ? แล้วคนที่เลือกที่จะทนทุกข์ซึ่งเขารู้สึกว่ามันเป็นทางเดียวที่จะสามารถ “หาทาง” ไปสู่สวรรค์หรือ “ชดใช้บาป” ได้ล่ะ? ผมคิดว่าพระองค์บอกว่าวิญญาณสามารถมีประสบการณ์กับทุกสิ่งที่ต้องการมีประสบการณ์หลังความตายได้
G: สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง ดังนั้นเธอจึงจะได้รับความทุกข์...เว้นแต่เธอจะไม่ทำอย่างนั้น
N: เพราะเป็นอย่างที่พระองค์พูดไปก่อนหน้านี้ว่า พระองค์แค่กำลังมองดูเฉย ๆ และไม่ได้ระบุตัวตนของ “ตัวเอง” ที่กำลังมีประสบการณ์ถึงมันใช่ไหมครับ?
G: ใช่ และเพราะถึงแม้ว่าเธอจะสามารถระบุตัวตนส่วนหนึ่งของเธอที่กำลังประสบกับมันได้ เธอก็จะไม่ทำอย่างนั้น
N: พระองค์รู้มั้ยครับว่าพระองค์กำลังทิ้งผมไว้กับความสงสัย...
G: ให้ฉันเตือนความจำเธอบางอย่างที่ฉันได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ มันจะสามารถอธิบายสิ่งนี้ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น
N: เป็นเรื่องที่ดีสำหรับตอนนี้เลยครับถ้าพระองค์จะอธิบายแบบเต็ม ๆ
G: ในช่วงเวลาที่สิ่งใด ๆ เกิดขึ้นโดยที่วิญญาณประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ความคิดที่ว่ามันไม่พึงปรารถนานั้นจะทำให้ประสบการณ์ภายในของวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปในทันที จึงไม่มีความทุกข์ ไม่มีแม้แต่กับบุคคลที่คิดว่าตัวเองสมควรควรถูกลงโทษ
พวกเขาจะสร้างประสบการณ์ตามจินตนาการ แต่พวกเขาจะไม่ได้มีประสบการณ์อย่างที่พวกเขาคิด ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าทันทีที่พวกเขามีประสบการณ์ พวกเขาจะเลือกที่จะไม่เป็นเช่นนั้น
N: แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ
G: ระดับของการรับรู้ในชีวิตหลังความตายจะกีดกั้นความเป็นไปได้ที่ใครจะจงใจเลือกสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และวิญญาณก็จะรู้และเข้าใจทันทีว่าแนวคิด ความคิดและประสบการณ์ของ “ความทุกข์” นั้นไม่มีอยู่จริง
ในระยะแรกของความตาย วิญญาณจะเข้าใจว่าร่างกายที่มันใช้ชีวิตอยู่ด้วยนั้นไม่ใช่ของจริง นั่นคือ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ในระยะที่สองของความตาย วิญญาณจะเข้าใจว่าจิตใจและความคิดทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ความคิดทั้งหมดของจิตใจนั้นมีจำกัด ซึ่งเกิดขึ้นจากมุมมองที่จำกัดจากประสบการณ์ของมนุษย์ ความคิดจะมีผลกระทบอย่างมากในระยะที่สองของการตาย เป็นเพราะมุมมองของวิญญาณในชีวิตหลังความตายนั้นยิ่งใหญ่กว่า และแตกต่างจากสิ่งที่มันเป็นเมื่อตอนอยู่ในร่างกาย
จากตำแหน่งของมุมมองที่เพิ่มขึ้น วิญญาณจะเริ่มสร้างและมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ทันทีที่วิญญาณเห็นและตระหนักรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ร่างกาย มุมมองของมันจะเปลี่ยนไปอย่างมากตามที่เธอจินตนาการได้ แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่ขับเคลื่อนวิญญาณไปสู่ระยะที่สามของความตาย เมื่อความคิดทั้งหมด ไม่ใช่แค่ความคิดที่ “แย่”เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความคิดเกี่ยวกับ “สวรรค์” ของพวกเขานั้นลดลงไป จากนั้นวิญญาณจึงมีประสบการณ์ถึงความจริงสูงสุด (Ultimate Reality)
ดังนั้น แม้ในกรณีของบุคคลที่เชื่ออย่างแท้จริงว่าเขาต้องทนทุกข์ สมควรได้รับความทุกข์ ความทุกข์นั้นเป็นทางเดียวที่จะไถ่บาปตัวเองจากสายตาของพระเจ้าได้ ความคิดแห่งการไถ่บาปและความคิดที่ว่าความทุกข์เป็นวิธีเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายได้นั้นจะไม่มีความหมายอีกต่อไปในมุมมองที่กว้างขึ้นของวิญญาณ
วิญญาณสามารถมองดูตัวเองพยายามทนทุกข์ในนรกที่สร้างขึ้นเองได้ แต่ในไม่ช้าวิญญาณก็จะพบว่าประสบการณ์ดังกล่าวไม่มีความหมายที่จะสร้างขึ้น
N: ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับวิญญาณที่จะแสดงตัวว่ามันเป็นผู้สร้างความเป็นจริงของตัวเอง
G: ไม่ใช่คำถามที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นคำถามที่ไร้ความหมาย วิญญาณไม่มีเหตุผลที่จะสร้างประสบการณ์บางอย่าง นอกเหนือไปจากความเป็นจริงของ “การจดจำ” ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวิญญาณจำได้ว่าความทุกข์ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพียงประสบการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในจิตใจของมนุษย์ มันก็จะบรรลุสิ่งที่ต้องการบรรลุด้วยการสร้างนรกของมันเอง และประสบการณ์นั้นจะไม่มีความหมายอะไรอีกหลังจากนั้น
นั่นเป็นเพราะในแง่หนึ่ง วิญญาณ “รู้มากเกินไป” และเพื่อที่จะรับอะไรเพิ่มเติมจากประสบการณ์ดังกล่าว มันจึงทำตัวเหมือนกับนักมายากลที่แสดงกลของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า – สำหรับผู้รับชมเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นก็คือ ตัวมันเอง
N: ผมควรจะคิดว่ามันค่อนข้างยากสำหรับนักมายากลที่จะทำให้ตัวเองสนใจในกลอุบายของตัวเอง
G: มันจะยากไปกว่านั้น มันจะเป็นไปไม่ได้ ในแง่นั้น ในบริบทนั้น อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่วิญญาณจะต้องทนทุกข์ทรมาน
N: เป็นไปไม่ได้แม้แต่ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุดเลยเหรอครับ? แม้ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะสนใจหรือไม่?
G: เป็นไปไม่ได้
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ช่วงเวลาที่สั้นที่สุด” คำถามของเธออยู่ในความเป็นจริงของเธอในสิ่งที่เธอเรียกว่า “เวลา” ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามลำดับ ทว่าทุกสิ่งที่ฉันได้อธิบายว่าเกิดขึ้นกับวิญญาณหลังความตายนั้นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
N: เดี๋ยวนะครับ แต่พระองค์บอกเองว่ามันเกิดขึ้นใน “ระยะ” ระยะที่หนึ่ง ระยะที่สอง และอื่น ๆ
G: ถูกต้องตามคำศัพท์ของเธอ ทว่าขั้นตอนเหล่านั้นจะเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยแต่ละประสบการณ์ใหม่จะ “ลบ” ของเก่าออก และมันก็เหมือนกับว่าสิ่งเก่าไม่เคยเกิดขึ้น เธอ “เป็น” สิ่งที่เธอ “เป็น” ในตอนนี้ และมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่เคยเป็นอย่างอื่นมาก่อนเลย
N: ผมขอโทษนะครับ แต่นั่นดูไม่สมเหตุสมผลเลย พระองค์เพิ่งหยุดความสมเหตุสมผลไว้ที่นี่
G: ความท้าทายของที่นี่ก็คือ การพูดถึงสถานการณ์หรือประสบการณ์ที่อยู่นอกโลกในแง่มุมที่อยู่ในโลก ให้ฉันบอกว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตามลำดับและเกิดขึ้นพร้อมกัน
N: นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกสมเหตุสมผลน้อยลงไปอีกครับ! สิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นตามลำดับหรือเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองอย่างได้
G: ทำไมจะไม่ได้?
ฉันบอกเธอว่าทุกชีวิตเป็นทั้งสองอย่าง
N: ทั้งหมดของชีวิตคือ “ตามลำดับ” และ “พร้อมกัน” หรือครับ?
G: ใช่
N: ดีครับ แต่มันทำให้ผมประหลาดใจ ผมไม่สามารถถือแนวคิดนี้ไว้ในความจริงของผมได้จริง ๆ
G: เธอนึกออกถึงความเป็นไปได้ไหม? เธอสามารถยืดความคิดของเธอเพื่อให้สามารถเข้าใจถึงความเป็นไปได้ได้ไหม?
ไม่มีคำศัพท์สำหรับประสบการณ์นี้ในภาษาของเธอ ดังนั้นเราจึงต้องสร้างมันขึ้นมา สมมติว่าทุกชีวิต “ต่อเนื่องกัน” มันเป็น “ตามลำดับ” และ “พร้อมกัน” ในเวลาเดียวกัน
N: ผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมเดาว่าทุกอย่างมีความเป็นไปได้ และผมยินดีที่จะยอมรับว่าผมไม่รู้ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับความจริงสูงสุด แต่ผมทำได้แค่ทำความเข้าใจให้มากที่สุด แม้ว่าผมจะเข้าใจตามแนวคิด แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะต้องอยู่ที่นั่นด้วยประสบการณ์จริงยังไง ผมไม่สามารถจินตนาการถึงประสบการณ์แบบนั้นได้ครับ
G: ให้ฉันดูว่าเราหาคำศัพท์อื่นได้อีกไหม – บางคำเช่นคำว่า “ความจริง (Real)” – อาจใช้อธิบายให้เธอฟังหรือทำให้ชัดเจนขึ้นได้เล็กน้อย
N: ดีเลยครับ เพราะผมต้องการความช่วยเหลือที่นี่ และผมต้องการมันทันที หรือผมควรจะพูดว่าผมต้องการความช่วยเหลือตามลำดับ...
G: เยี่ยม นั่นเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ!
ตอนนี้ ลองจินตนาการถึงความเป็นจริงที่เวลาไม่มีอยู่จริงกับฉัน ไม่ใช่ในแบบที่เธอคิด มีเพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้น นั่นคือ ปัจจุบันขณะอันเป็นนิรันดร์ (Golden Moment of Now)
ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้น – กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
นี่เป็นเรื่องจริงตลอดชีวิตของเธอ ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เธอเรียกว่าช่วงชีวิตนี้ หรือชีวิตหลังความตาย ความแตกต่างคือในชีวิตหลังความตายเธอจะรู้และมีประสบการณ์ถึงมัน
N: โอเคครับ แต่เดี๋ยวก่อน พระองค์เพิ่งพูดว่าชีวิตของผมทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน พระองค์หมายถึงภพชาติทั้งหมดของผมใช่ไหมครับ
G: ใช่ แต่ฉันยังหมายถึงการเดินทางอันมากมายของเธอผ่านชาตินี้
N: พระองค์หมายความว่าผมผ่านชีวิตนี้มากกว่าหนึ่งครั้งเหรอครับ?
G: ใช่แล้ว และความเป็นไปได้ก็มีมากมาย มีประสบการณ์มากมาย ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
N: แต่ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน...นั่นหมายความว่าจะต้องมี “ความเป็นจริงทางเลือก” พระองค์กำลังบอกผมว่ามี “จักรวาลคู่ขนาน” ที่วิ่งอยู่ข้างเราซึ่งมี “ผม” ที่เป็น “ผม” กำลังมี ประสบการณ์อื่น ๆ อยู่ ?
G: ฉันบอกแบบนั้น
N: พระองค์บอกผมในตอนแรกว่าบางส่วนของบทสนทนานี้อาจดูเหมือนเป็น “ทางออก” สำหรับผู้คน และพระองค์กำลังรักษาสัญญาอย่างแน่นอน แต่หลายคนอาจบอกว่าสถานการณ์สุดท้ายนั้นเป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ธรรมดา ๆ
G: และมันก็ไม่ใช่ อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ นี่คือวิทยาศาสตร์
N: นี่ก็เหมือนกัน วิทยาศาสตร์หรือครับ? การพูดถึงความเป็นจริงทางเลือกคือวิทยาศาสตร์?
G: เธอคิดว่าเธออาศัยอยู่ในโลกสามมิติเท่านั้นเหรอ? ลองถามนักฟิสิกส์ควอนตัมเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิ
N: เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกสามมิติ แต่เราก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกสามมิติเพียงโลกเดียว
G: เธอมีประสบการณ์ในโลกสามมิติ แต่เธอก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกสามมิติเพียงโลกเดียว
N: หมายความว่าไงครับ?
G: หมายความว่าความจริงสูงสุดนั้นซับซ้อนกว่าที่เธอคิดไว้มาก หมายความว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าที่ตาเห็น ฉันบอกเธอว่าความเป็นไปได้ทั้งหมดมีอยู่ตลอดเวลา เธอกำลังเลือกความเป็นไปได้ที่เธอต้องการตอนนี้เพื่อรับประสบการณ์จากหลากหลายมิติของความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด และยังมี “เธอ” อื่น ๆ ที่ทำการเลือกที่แตกต่างกันที่นี่ตอนนี้
N: ตัวผมอีกคนเหรอครับ?
G: ถูกต้อง
N: พระองค์กำลังบอกว่า “ตัวผม” มีอยู่หลายมิติ?
G: ฉันบอกแบบนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น